Supper Bass

วันอังคารที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556

บ้านน่ารักๆของเจ้าสุนัข

























ขนม+ไอศครีมของสุนัขแสนซน

























เครื่องประดับสุนั







10 รีสอร์ทชิลล์ๆ ที่ น้องหมา น้องเหมียว ไปเที่ยว ไปพักได้


ใครกำลังประสบปัญหา อยากพาน้องหมา น้องเหมียว ไปเที่ยวด้วยกัน แต่จะทำยังไงดี หาที่พักไม่ได้ วันนี้เราเลยจะพามารู้จักกับที่พักหลากหลายลไตล์ ในที่ท่องเที่ยวฮอตๆ ที่เราจะสามารถพาน้องหมา น้องแมวของเราไปพักด้วยได้ ค่ะ

ปารีฮัท (Paree Hut) เกาะสีชัง จ.ชลบุรี




ไวท์ แอท ซี รีสอร์ท (White @ Sea Resort) หาดแม่รำพึง จ.ระยอ




ภูแก้วรีสอร์ท แอนด์ แอดเวนเจอร์พาร์ค (Phukeaw Resort & Adventure Park) เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์



ด่านช้าง กรีนวิว รีสอร์ท (Dan Chang Green View Resort) ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี




อนันตา ริเวอร์ ฮิลส์ รีสอร์ท (Ananta Rive Hills Resort) เขื่อนศรีนครินทร์ จ.กาญจนบุรี



เลิฟ กรีน รีสอร์ท (Love Green Resort)  สวนผึ้ง จ.ราชบุรี




ครอสทู รีสอร์ท (X2 Resort) หัวหิน-กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์




บ้านดินรีสอร์ท (Bandin Resort) จ.เชียงใหม่



ภูริปาย วิลล่า (Puri Pai Villa) อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน



ภูพระนางรีสอร์ท แอนด์ สปา (Phu Pranang Resort & Spa) อ่าวนาง จ.กระบี่






คลิปซึ้ง ๆ เรื่องจริงเกี่ยวกับน้องหมา




  "สุนัข" หรือ "น้องหมา" ...สัตว์เลี้ยงที่ขึ้นชื่อเรื่องความซื่อสัตย์และจงรักภักดีกับเจ้าของเป็นที่สุด แต่บางครั้ง น้องหมาก็ถูกนำไปเป็นคำด่าต่าง ๆ นานา ไม่แพ้สัตว์คู่บ้านคู่เมืองตั้งแต่ครั้งโบราณกาลอย่าง "ควาย"

           คำบางคำที่เกี่ยวกับ "หมา" จึงไม่ค่อยมีใครอยากได้ยิน หรืออยากฟัง เนื่องจากบางประโยคที่มีคำนี้ถือเป็นคำหยาบคายอย่างยิ่ง! เช่น "สันดานหมา" "ชาติหมา" "หมาขี้เรื้อน" และอีกสารพัดหมา ๆ ที่ใครเคยถูกด่าด้วยคำเหล่านี้เป็นต้องร้องโอ๊ย!...เจ็บใจ  หรือใครเคยด่าคนอื่นด้วยคำนี้บ้างล่ะ โอ๊ย!..สะใจ (จริงไหม)

           อย่างไรก็ตาม แม้ "หมา" จะเป็นคำที่หยาบคาบและหลายคนไม่ปรารถนาจะได้ยิน แต่ถ้ามานั่งนึกกันเล่น ๆ แท้จริงแล้วอาจไม่ใช่ดังที่หลายคนคิด ... "หมา" คำ ๆ นี้อาจให้อะไรมากกว่าการถูกด่า คำ ๆ นี้อาจทำให้คุณอึ้ง! และซึ้งจนเกินบรรยาย และเสียน้ำตาให้กับมันก็เป็นได้

           เอ้า! หากไม่เชื่อก็มาร่วมพิสูจน์ความจริงให้รู้เช่นเห็นชัดกันไปเลย ซึ่งคลิปที่เรานำมาฝากเป็นคลิปภาพการ์ตูนของ คุณ i-phan (ไอ้แป้น) ซึ่งถูกนำมาร้อยเรียงเป็นคลิปวิดีโอโดยคุณ เจมส์ เมืองทอง เนื้อหาเป็นเรื่องราวความซื่อสัตย์จงรักภักดี และความรักของสุนัขที่มีให้กับคนที่ดีกับมัน โดยนำมาเปรียบเทียบกับภาคของคน(บางคน) ที่อาจหลงลืมพ่อแม่ ไม่ซื่อสัตย์กับพ่อแม่ ทอดทิ้งพ่อแม่ ....

          จะให้บรรยายก็คงไม่ได้อารมณ์เท่ากับ ตาดู หูฟัง ดังนั้น อย่ารอช้าไปดู คลิปซึ้ง ๆ เกี่ยวกับน้องหมากันเลยดีกว่าค่ะ   



ภาพยนตร์เกี่ยวกับน้องหมา เรียกน้ำตาคนดู





     Hachi ฮาชิ ...หัวใจพูดได้ (2010)...ภาพยนต์ที่แสนอบอุ่น ประทับใจ ดัดแปลงจากภาพยนต์ญี่ปุ่นชื่อดังที่สร้างจากเรื่องจริงของเจ้าฮาจิโกะ น้องหมาพันธุ์อาคิตะ ผู้ซื่อสัตย์ ว่ากันว่า น้องหมาพันธุ์นี้ไม่ใช่น้องหมาที่ช่างประจบประแจง เอาใจเจ้านายมันนัก แต่มันจะทำก็ต่อเมื่อมีเหตุอะไรซักอย่างให้มันต้องทำ นั่นแหละมันถึงจะทำ ทุกวันเจ้าฮาจิจะตามไปส่งเจ้านายของมันที่สถานีรถไฟ และกลับมารอต้อนรับเจ้านายในช่วงบ่ายหลังเลิกงานทุกวัน แม้กระทั่งในวันที่เจ้านายของมันตายไปแล้ว มันก็ยังคงทำแบบนี้ทุกวันเป็นเวลา 9 ปี จนทำให้คนแถวนั้นซึมซับในความรักความผูกพันธ์ และความจงรักภักดีที่มีต่อเจ้านายของมัน ปัจจุบันก็มีรูปปั้นของเจ้าฮาจิโกะตัวจริงอยู่ที่สถานีรถไฟชิบูย่า ประเทศญี่ปุ่น...Optimus ขอบอกเลยนะคะว่า เรื่องนี้ทำให้ร้องไห้ไม่หยุด ซึ้งใจเจ้าฮาชิที่สุดเลยคะ





    Eight Below ปฏิบัติการ 8 พันธุ์อึดสุดขั้วโลก (2006) …ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในปี 1957 กับสุนัขลากเลื่อนพันธุ์ไซบีเรียน ฮัสกี้สุดอึด แปดตัว บนแผ่นดิน จะว่าไปก็ไม่ใช่แผ่นดินนะเพราะมันคือแผ่นน้ำแข็ง+หิมะ แห่งทวีปแอนตาร์กติก พวกมันต้องเอาชีวิตรอดหลังจากถูกทีมวิจัยทิ้งไว้ที่ศูนย์วิจัยแห่งนี้ เนื่องจากสภาพอากาศเลวที่ร้าย ก่อนที่เจ้านายของมันจะตัดสินใจมารับมันนั้น พวกมันต้องใช้สัญชาตญาณในเอาตัวรอดฝ่าสภาพอากาศที่เลวร้ายนั้นให้ได้ ใน
เรื่องนี้จะเห็นทั้งความกล้าหาญ การตัดสินใจ และความเสียสละเพื่อฝูงของมัน เป็นหนังที่ซาบซึ้งและน่าดูอีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียวคะ








สุนัขผู้ซื่อสัตย์








มีบ้านอยู่หลังหนึ่งได้เลี้ยงสุนัขเอาไว้เฝ้าบ้าน สุนัขตัวนั้น มีความซื่อสัตย์เป็นมากในยามกลางคืนแม้แต่ในขณะที่มันนอนหลับอยู่ ซึ่งหากมันได้ยินเสียงอะไรที่ผิดปกติมันก็จะลุกขึ้นมาเห่าเสมอไป เพื่อที่จะเตือนภัยเเก่เจ้าของบ้าน

มีอยู่คืนหนึ่ง มันได้ยินเสียงคนย่ำใบไม้ดังกรอบเเกรบ เสียงนั้นดังเเผ่วเบามาแต่ดังที่บริเวณใกล้รั้วบ้าน
ถึงเเม้มันจะไม่เห็นว่าเป็นใครมันก็ส่งเสียงเห่าคำรามขู่ไว้อย่างไม่ขาดปาก
เจ้าหัวขโมยจึงได้โยนเนื้อที่ชุบยาเบื่อเอาไว้  เข้ามาในรั้ว เพื่อหวังให้สุนัขตัวนี้กิน แต่สุนัขเฝ้าบ้านเดินเข้าไปดมๆ เเต่ก็ไม่กินแต่อย่างใด
มันยังคงเห่าต่อไปจนกระทั่งเจ้าของบ้านออกมาดู เเล้วก็ช่วยกันจับขโมยเอาไว้ได้ในที่สุด

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

อามิสสินบนนั้นซื้อความซื่อสัตย์ภัคดีไม่ได้
โรคที่มักพบในลูกสุนัข





ก่อนนำลูกสุนัขใหม่เข้าบ้าน เราอยากให้คนเลี้ยงสุนัขและคนที่กำลังจะเลี้ยงสุนัขในอนาคตได้ทำความรู้จักคุ้นเคยกับโรคต่างๆ ที่มักเกิดขึ้นในสุนัข เพื่อที่จะระมัดระวังได้อย่างถูกวิธีและเข้าใจการรักษาที่ถูกต้อง ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยค่ะ



พยาธิในทางเดินอาหาร
ลูกสุนัขบางตัวจะพบการติดพยาธิตัวกลมในทางเดินอาหารจากการดื่มน้ำนมของแม่สุนัขที่มีพยาธิชนิดนั้นๆ อยู่ ซึ่งส่งผลให้ลูกสุนัขมีอาการถ่ายเหลว หรือในลูกสุนัขบางตัวที่มีพยาธิตัวกลมในทางเดินอาหารเป็นจำนวนมากจะพบว่าลูกสุนัขซูบผอม ลักษณะที่สังเกตได้จากภายนอกคือ ท้องจะกางจากภาวะของโปรตีนในเลือดต่ำ บางตัวอาเจียนหรือถ่ายเหลว แล้วมีพยาธิปนออกมา โดยพยาธิตัวกลมในทางเดินอาหารที่สามารถถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก ได้แก่ พยาธิปากขอ พยาธิไส้เดือน ดังนั้น หากพบอาการดังกล่าว คุณควรถ่ายพยาธิให้กับทั้งแม่และลูกสุนัขไปพร้อมๆ กันค่ะ โดยการถ่ายพยาธิจะทำทุก 2-3 สัปดาห์ ประมาณ 4-5 ครั้งติดต่อกัน


โรคติดเชื้อในทางเดินอาหารจากเชื้อโปรโตซัว หรือเชื้อบิด
เชื้อโปรโตซัวที่พบบ่อยที่สุดมีชื่อว่า Giardia ค่ะ โดยอาการที่พบคือ สุนัขมักจะถ่ายเหลวหรือนิ่ม ไม่เป็นทรงตามปกติ สลับกับบางวันที่ถ่ายอุจจาระออกมาเป็นทรงปกติ และเมื่อนำอุจจาระมาตรวจก็จะพบเชื้อชนิดนี้ปนเปื้อนออกมากับอุจจาระของสุนัขที่ป่วย โรคนี้เป็นแล้วสามารถรักษาได้ ไม่เป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตเหมือนกับโรคบางโรคที่จะกล่าวต่อไปค่ะ



โรคลำไส้อักเสบจากเชื้อพาร์โวไวรัส หรือโคโรน่าไวรัส
โรคนี้ถือเป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรง สามารถติดต่อได้ค่อนข้างเร็วมาก ซึ่งการติดต่อเกิดขึ้นได้จากการสัมผัสกับสุนัขที่ป่วยเป็นโรคนี้โดยตรง หรือจากการสัมผัสกับอุจจาระของสุนัขที่ป่วยด้วยโรคนี้ ระยะฟักตัวของโรคนี้จะอยู่ที่ 3-7 วัน อาการที่สังเกตเห็นได้ในตอนแรกๆ คือ สุนัขจะค่อนข้างซึมมาก มีอาการอาเจียน และถ่ายท้องเสียอย่างรุนแรง หลายครั้งบางรายมีการถ่ายเป็นเลือดสดๆ ในลูกสุนัขที่แสดงอาการป่วยค่อนข้างรุนแรงมากอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ หากให้สารน้ำและเกลือแร่ไม่ทันท่วงทีโรคนี้ไม่มียาที่ใช้ในการรักษาโดยตรง การรักษาจึงทำได้เพียงให้ยาเพื่อควบคุมการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนไว้เท่านั้น หรืออาจป้องกันโรคโดยการทำวัคซีนในลูกสุนัขที่มีอายุ 45 วันขึ้นไป ต่อเนื่องกันทุก 3 อาทิตย์ ประมาณ 2-3 ครั้ง จากนั้นในปีต่อมาจึงจะกระตุ้นปีละ 1 ครั้ง หรือในเจ้าของสุนัขบางรายสามารถกระตุ้นวัคซีนรวมให้แม่สุนัขก่อนการผสม เพื่อให้แน่ใจว่าแม่สุนัขจะมีการสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้ได้สูงพอและสามารถผ่านภูมิคุ้มกันโรคแบบรับมานี้ต่อไปยังลูกสุนัข โดยผ่านทางนมน้ำเหลืองในขณะที่ลูกสุนัขกินนมแม่



ไรในหู
เป็นโรคที่เราพบได้บ่อยมาก เวลาที่นำลูกสุนัขใหม่มาที่โรงพยาบาลสัตว์ โดยจะสังเกตเห็นว่า ลูกสุนัขจะแสดงอาการคันที่บริเวณใบหูอย่างมาก บางตัวจะแสดงอาการสะบัดหัวบ่อยๆ เมื่อเราเปิดดูที่บริเวณช่องหูจะเห็นว่า ลูกสุนัขจะมีขี้หูค่อนข้างเยอะ และขี้หูจะเป็นสีน้ำตาลถึงสีดำ ส่วนในรายที่เป็นมากๆ ช่องหูส่วนนอกจะมีการอักเสบร่วมด้วยค่ะ ซึ่งในบางครั้งจะมีการติดเชื้อของยีสต์ในช่องหู หรือมาจากเชื้อแบคทีเรียร่วมกันค่ะ การรักษาไรในหูในปัจจุบันนี้มีหลายวิธีค่ะ โดยจะใช้ยาหยอดหู หรือใช้ยาราดที่กลางหลังเพื่อควบคุมไรในหูก็ได้ แต่ไม่ว่าจะเลือกวิธีใด แนะนำให้ทำต่อเนื่องกันอย่างน้อย 4-6 สัปดาห์ เพื่อให้แน่ใจว่า ไรในหูได้ตายหมดแล้วจริงๆ



โรคไข้หัดสุนัข
เป็นโรคติดต่อจากเชื้อไวรัสของไข้หัดสุนัข โดยสุนัขสามารถติดโรคนี้ได้จากการสัมผัสโดยตรงกับสุนัขที่ป่วยเป็นโรคนี้ หรือมีการสัมผัสกับสิ่งคัดหลั่งที่มาจากสุนัขป่วย อาการที่สังเกตเห็นโดยมากจะเริ่มเป็นที่ระบบทางเดินหายใจก่อน จากการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนมาร่วมกับเชื้อไวรัสไข้หัด โดยเราจะพบว่าสุนัขมีขี้มูก ขี้ตาเยอะ และภาวะปอดบวม หรือในบางตัวอาจเริ่มต้นการติดเชื้อแบคทีเรียที่ทางเดินอาหาร และสุนัขจะแสดงอาการถ่ายเหลว ท้องเสียเรื้อรัง ซึ่งหลังจากการติดเชื้อที่ทางเดินหายใจ หรือทางเดินอาหารอย่างเรื้อรังไประยะหนึ่ง สุนัขอาจจะเริ่มแสดงอาการทางประสาท เช่น มีการกระตุกของกล้ามเนื้อ แขน ขา หรือ ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย และอาจจะเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมีอาการชักจากการที่เชื้อไวรัสไข้หัดขึ้นไปทำลายและรบกวนการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง สุนัขบางตัวเริ่มมีการชักกระตุก เดินวนไปมา ในบางรายอาจพบตาบอด และบางรายถึงขั้นเสียชีวิต โรคนี้ไม่มีการรักษาที่เฉพาะเจาะจง แต่จะใช้การรักษาแบบประคับประคองตามอาการ แล้วรอจนกระทั่งร่างกายของสุนัขสามารถสร้างภูมิขึ้นกันที่มีต่อเชื้อนี้ขึ้นมา การทำวัคซีนเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสุนัขสร้างภูมิคุ้มกันโรค และในขณะเดียวกันแม่สุนัขสามารถผ่านภูมิคุ้มกันแบบรับมานี้ไปยังลูกสุนัขได้โดยผ่านทางนมน้ำเหลือง โดยวิธีการกระตุ้นวัคซีนของโรคนี้จะใช้แบบเดียวกันกับที่เราทำให้กับโรคลำไส้อักเสบค่ะ
พยาธิในสุนัข  มีลักษณะอย่างไร



พยาธิไส้เดือน


พยาธิไส้เดือนเป็นพยาธิตัวกลมที่สำคัญในสุนัข พยาธิเพศผู้มีขนาดยาว 10 ซม. ส่วนพยาธิเพศเมียยาวถึง 18 ซม. ส่วนหัวมีผิวตัวที่แผ่ออกทางด้านข้าง เรียกว่า cervical ala ปลายหางของเพศผู้มีรอยคอดทำให้ตอนปลายเป็นติ่งเล็กๆ ยื่นออกมา ไข่พยาธิค่อนข้างกลม เปลือกหนาขรุขระ มีขนาดประมาณ 90x75 ไมครอน





พยาธิหัวใจ (Heartworm) สุนัข

พยาธิหัวใจเป็นพยาธิที่อาศัยอยู่ภายในหัวใจและปอดของสุนัขที่ติดโรคนี้โดยสามารถเข้าไปสู่หัวในสุนัขได้ตั้งแต่อายุน้อยๆ(ประมาณ4-6เดือน)และเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพร้ายแรงคือก่อให้เกิดหัวใจล้มเหลว
และเสียชีวิตในสุนัขที่ไม่ได้ป้องกันโรคนี้การติดต่อ ติดต่อได้จากยุงที่กัดสุนัขป่วยและทำการแพร่เชื้อสู่สุนัขปกติอาการ  เหนื่อยง่าย หอบ หายใจลำบาก หัวใจห้องล่างขวาโต ไอแบบแห้งๆ เรื้อรังบวมน้ำตามร่างกาย ระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว ระบบหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตในที่สุดการป้องกัน  ป้องกันยุงกัด ฉีดยา/กินยาป้องกันพยาธิหัวใจ


ธนาคาร เลือด สุนัข






ธนาคารเลือดสุนัข
"ธนาคารเลือดสุนัขจัดตั้งมานานหรือยังและมีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร?
 หน่วยธนาคารเลือด (Blood bank unit) โรงพยาบาลสัตว์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ได้เริ่มก่อตั้ง และเปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2543  โดยมีนายสัตวแพทย์บดินทร์ ติระพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มในการก่อตั้ง และมีอาจารย์สัตวแพทย์หญิงดอกเตอร์หม่อมหลวงนฤดี  เกษมสันต์ เป็นประธานกรรมการหน่วยธนาคารเลือด และนายสัตวแพทย์เสลภูมิ ไพเราะ เป็นหัวหน้าหน่วยธนาคารเลือด
ตลอดหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา หน่วยธนาคารเลือด โรงพยาบาลสัตว์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีความทันสมัยทั้งในด้านเทคโนโลยีและวิชาการ สามารถรองรับและสนับสนุนการตรวจรักษาโรคในปัจจุบันได้     อย่างเหมาะสม และเป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลายในสังคม
ในปัจจุบันนี้ หน่วยธนาคารเลือดมีความสามารถในรองรับการบริจาคเลือดจากสุนัขและแมวได้ไม่ น้อยกว่า 1,000 ตัวต่อปี และมีศักยภาพมากเพียงพอที่เก็บสำรองเลือดเหล่านี้ไว้สำหรับใช้เพื่อรักษา หรือช่วยชีวิตสุนัขหรือแมวที่ป่วยด้วยภาวะขาดเลือดซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ทุกๆ ปี
นอกจากหน้าที่ในการรับบริจาคเลือดและเก็บสำรองเลือดแล้ว ทางหน่วยธนาคารเลือดยังได้มีการพัฒนาความสามารถและศักยภาพในการผลิตและเก็บ สำรองผลิตภัณฑ์เลือดชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพลาสมาที่มีเกล็ดเลือด (Platelet rich plasma) เกล็ดเลือดเข้มข้น (Platelet concentrate) พลาสมาสดแช่แข็ง (Fresh frozen plasma) พลาสมาแช่แข็ง        (Frozen plasma) ครายโอพริซิพิเตท (Cryoprecipitate) เป็นต้น โดยการเก็บการผลิตและการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีความถูกต้องตามหลัก วิชาการ และมีความทันสมัยไม่แพ้ธนาคารเลือดของคน ทำให้สามารถสนับสนุนการพัฒนาการรักษาภายในโรงพยาบาลได้อย่างดีจากการพัฒนาอย่างต่อเนื่องนี้เอง ทำให้หน่วยธนาคารเลือด โรงพยาบาลสัตว์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ก้าวขึ้นมายืนอยู่ในฐานะของ ธนาคารเลือดต้นแบบสำหรับสัตว์เลี้ยงซึ่งมีความพร้อมมากที่สุดแห่งหนึ่งของ ประเทศไทย ในปัจจุบัน

"เลือดของสุนัขนั้นมีการแบ่งเป็นกรุ๊ป ๆ มั้ย และแต่ละกรุ๊ปนั้นสามารถให้ข้ามกรุ๊ปกันได้มั้ย ?”
เลือดของสุนัขจะแตกต่างจากเลือดคนตรงที่สุนัขจะมีแอนติเจนบนผิวเม็ดเลือดแดง แต่ไม่มีแอนติบอดี้ในพลาสมา  แต่คนจะมีแอนติบอดี้ในพลาสมาด้วย เลือดของสุนัขจะมีทั้งหมด 8 กรุ๊ป คือ กรุ๊ป DEA 1.1, DEA 1.2, DEA 3, DEA 4  DEA 5, DEA 6, DEA 7, DEA 8 โดยเลือดกรุ๊ป DEA1.1, DEA 1.2 จะเป็นหมู่เลือดสำคัญที่ทำให้เกิดปฏิกิริยารุนแรงหลังให้เลือดและมีผลร้าย แรงจนถึงแก่ชีวิตได้ ส่วนเลือดกรุ๊ป DEA 4 จะเป็นกรู๊ปเลือดที่สามารถให้เลือดกับกรุ๊ปอื่นได้ทุกกรุ๊ป โดยไม่เป็นอันตรายใด ๆ แต่อย่างไรก็ดี นอกจากการตรวจกรุ๊ปเลือดแล้ว ยังต้องตรวจความเข้ากันของเลือด (Cross Matching)  ก่อนให้เลือดด้วย ว่าสามารถเข้ากันได้หรือไม่ หากเข้ากันได้จึงจะทำการให้เลือด เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่ามีความปลอดภัยในการ รับเลือดอย่างแน่นอน

"เลือดที่เก็บมาได้ เอาไปทำอะไรได้บ้าง

โดยปกติแล้ว เลือดจะประกอบด้วยองค์ประกอบหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด น้ำเลือด โปรตีนในเลือด รวมทั้งปัจจัยการแข็งตัวของเลือดอีกหลายชนิด ซึ่งในการป่วยของสุนัข แต่ละตัว ก็จะมีความต้องการองค์ประกอบเหล่านี้แตกต่างกันไป เช่น ถ้ามีปัญหาโลหิตจาง อาจจะต้องการแค่เม็ดเลือดแดง แต่ถ้าโปรตีนต่ำ จะต้องการแค่โปรตีนในเลือด เป็นต้น
ดังนั้น ก็จะเห็นได้ว่า เลือดจากสุนัขแข็งแรง 1 ตัว ก็จะสามารถแบ่งเป็นองค์ประกอบต่างๆ ไว้ข่วย สุนัขป่วยได้อีกหลายชีวิต ดังนั้น การพาสุนัขมาบริจาคเลือด 1 ครั้ง จึงถือเป็นการทำบุญอีกรูปแบบหนึ่งที่มี คุณค่าและได้ประโยชน์อย่างสูงสุด

"สุนัขที่จะมาบริจาคเลือด ต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง?”
เป็นสุนัขที่มีสุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรง และได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วน
เป็นสุนัขอายุระหว่าง 1 - 8 ปี ไม่จำกัดเพศ พันธุ์ (ถ้าเป็นเพศเมียต้องรอให้หมดประจำเดือนก่อน)
มีน้ำหนักไม่น้อยกว่า 18 กิโลกรัม
ไม่เคยรับการผ่าตัดใหญ่ในระยะ 1 - 2 เดือนก่อนมาให้เลือด และไม่เคยได้รับเลือดหรือผลิตภัณฑ์เลือดใดๆ มาก่อนถ้ามีคุณสมบัติตรงตามนี้แล้ว ก็สามารถพาสุนัขของคุณมาบริจาคเลือดได้เลย โดยก่อนการบริจาคเลือดสักประมาณ 6 ชั่วโมง ควรงดน้ำและอาหารเพื่อความปลอดภัยหากจำเป็นต้องให้ยาซึม และหากมีการกินยารักษาโรคอะไรอยู่ ควรแจ้งคุณหมอให้ทราบ ก่อนทุกครั้ง

"ขั้นตอนการบริจาคเลือดนั้น มีอะไรบ้าง?”

1. เมื่อสุนัขมาถึง คุณหมอจะทำการตรวจร่างกายเบื้องต้น และเจาะเลือดจากเส้นเลือดดำที่บริเวณขา (ปริมาณเลือดประมาณ   3 ซีซี) เพื่อประเมินความสมบูรณ์ของร่างกาย
2. หากผลการตรวจร่างกายและผลการตรวจเลือดเป็นปกติดี ก็เข้าสู่ขั้นตอนของการบริจาคเลือด โดยจะเริ่มจากการโกนขนที่คอในตำแหน่งที่จะเจาะเก็บเลือด แล้วทำความสะอาดด้วยยาฆ่าเชื้อ เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกจากผิวหนังที่จะเข้าสู่ร่างกายในขณะที่เจาะเลือด ซึ่งการทำความสะอาดนี้ จะทำ 3 รอบด้วยกัน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าปลอดภัยแน่นอน
3. เมื่อทำทุกอย่างเสร็จแล้ว คุณหมอก็จะเริ่มทำการเก็บเลือด โดยจะเก็บเลือดจากเส้นเลือดดำบริเวณลำคอ ซึ่งในการบริจาคเลือดครั้งหนึ่งๆ คุณหมอจะเก็บเลือดปริมาณ 10 -20 ซีซี ต่อน้ำหนักตัวสุนัข 1 กิโลกรัม แต่ไม่เกินปริมาณ 1 Unit หรือ 350-450 ซีซี (ซึ่งปริมาณเลือดที่เก็บดังกล่าว ไม่เกินความสามารถที่ร่างกายสุนัขจะรับได้)
4. หลังจากบริจาคเลือดแล้ว คุณหมอจะทำการบันทึกประวัติการให้เลือดในบัตรประจำตัวผู้บริจาคเลือด และก็จะจ่ายยาบำรุงเลือดให้ไปรับประทานด้วย ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องเป็นห่วง เพราะการบริจาคเลือดนี้เราไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ เลย   (ยกเว้นถ้าตรวจพบว่าป่วยและต้องได้รับยารักษาโรค) แถมสุนัขที่เราพามาบริจาค ยังได้ตรวจสุขภาพฟรีอีกด้วยนะ!!



นิทานน่ารักๆเกี่ยวกับสุนัข





สุนัขกับเงา











เสียงเห่าสุนัข...บอกอะไรเราได้บ้าง

          สำหรับสุนัข การเห่า คือการสื่อสาร สังเกตได้ว่าในการเห่าแต่ละครั้งจะมีโทนเสียงที่ต่างกัน มีสั้นยาวไม่เท่ากัน รวมถึงความถี่และจำนวนครั้งที่แตกต่างกัน และนั่นก็เป็นคำพูดที่เขาต้องการใช้สื่อสารให้คุณรับรู้อีกด้วย   ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านพฤติกรรมของสุนัข ได้ทำการแยกประเภทและความหมายของเสียงเห่าแต่ละชนิดไว้ ดังนี้

การเห่าสั้น ๆ 2-3 ครั้ง  เป็นการทักทายกันยามปกติ...เช่นเมื่อคุณกลับเข้าบ้าน หรือเมื่อเจอกันตอนเช้าหลังตื่นนอน เป็นต้น   แปลความหมายได้ว่า.. "สวัสดีเจ้านาย"
เห่าแล้วหยุด...เห่าแล้วหยุด ติดต่อกันเป็นเวลานาน  เป็นการบอกว่า "เหงาจัง" มาเล่นเป็นเพื่อนหน่อยซิ

การเห่ารัว ๆ และดังขึ้นเรื่อย ๆ   เป็นการบ่งบอกว่าเค้าตื่นเต้น และกำลังสนุกจริง ๆ

การเห่าครั้งเดียวสั้น ๆ  หากคุณหรือใครอื่นกำลังยุ่งวุ่นวายกะเค้าอยู่แล้วมีการเห่าสั้น ๆ ขึ้นนั้น มีความหมายว่า "รำคาญนะ อย่ามายุ่ง อยากอยู่คนเดียว"   แต่ถ้าไม่มีใครวุ่นวายกะเค้าอยู่ละก้อ...มีความหมายว่า "อยากเข้าห้องน้ำ หรือหรือถึงเวลาให้อาหารแล้ว"

การเห่าติดต่อกันนาน ๆ ถ้าเป็นลูกสุนัขไม่มีอะไรมากหรอก..เขาแค่ต้องการให้คุณอยู่ใกล้ๆ  และสนใจตลอดเวลา ประมาณว่าออดอ้อนอะไรทำนองนั้น

การเห่าเร็ว ๆ ติด ๆ เป็นการเตือนภัยว่าจะมีอะไรเข้ามาใกล้ หรือในเวลาที่หมาน้อยมองเห็น ได้กลิ่นของคนแปลกหน้า มีความหมายว่า "ระวังนะ!!! กำลังมีอันตรายเข้ามาใกล้เราแล้ว..."

แต่ถ้าโทนเสียงต่ำ ๆ ติด ๆ ละก็มีความหมายว่า "อันตรายมาถึงแล้วนะ" หรือเป็นการขู่คนร้ายว่า "อย่าเข้ามานะ เดี๋ยวกัดเลย"

การเห่าเป็นชุด ๆ ละ 3-4 ครั้ง แล้วหยุดเป็นระยะ เป็นการชักชวนให้คุณมาดูอะไรบางอย่าง....
  แปลความหมายได้ว่า..."มาดูอะไรนี่สิ"